วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ฆาตกรต่อเนื่อง Jack the ripper

    



         แจ็กเดอะริปเปอร์ (Jack the Ripper) เป็นสมญาของฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนในย่าน "ไวต์ชาเปล" ถิ่นยากจนในย่านอีสต์เอนด์ ของกรุงลอนดอน ในช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1889 ชื่อสมญาได้มาจากข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่ลงข่าวจดหมายลึกลับที่เขียนถึงสำนักข่าวกลางโดยผู้เขียนที่อ้างตนว่าเป็นฆาตกร ถึงแม้จะมีการสืบสวนและมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากมาย แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรได้เลย

ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับฆาตกรแจ็กเดอะริปเปอร์ได้กลายเป็นขนมผสมน้ำยา ระหว่างการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและนิทานพื้นบ้าน การขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดทำให้เกิดมีคำว่า "นักริปเปอร์วิทยา" มาใช้เรียกนักประวัติศาสตร์และนักสืบสมัครเล่นที่ศึกษาคดีอันโด่งดังนี้เพื่อกล่าวหาหรือพาดพิงถึงบุคคลต่าง ๆ ว่าคือตัวริปเปอร์ หนังสือพิมพ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มสูงมากในช่วงนี้โทษว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของตำรวจที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำให้ฆาตกรได้ใจและท้าทาย เหตุการณ์จึงเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา บางครั้งตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุหลังเกิดการฆ่าเพียง 2-3 นาที แต่กลับไม่ได้ตัวคนร้าย

เหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นโสเภณี ฆาตกรรมส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ เหยื่อทุกรายถูกเชือดคอ หลังจากนั้นซากศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ คาดกันว่าเหยื่อจะถูกรัดคอให้เงียบเสียก่อนลงมือฆ่า มีหลายกรณีที่มีการตัดอวัยวะภายในออก จึงมีผู้อนุมานว่าฆาตกรอาจเป็นศัลยแพทย์หรือไม่ก็คนขายเนื้อ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้


การสืบสวน

กรณีแจ็กเดอะริปเปอร์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเทคนิคการสอบสวนและนิติเวชศาสตร์มากที่สุดหลังเหตุการณ์

วิธีการด้านนิติเวชสมัยใหม่ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่รู้จักของตำรวจนครบาลในสมัยวิกตอเรีย แนวคิดเกี่ยวกับแรงกระตุ้นหรือแรงดลใจให้ลงมือกระทำการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องยังไม่เป็นที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ตำรวจในสมัยนั้นเข้าใจเพียงแรงจูงใจอาชญากรรมที่มีต้นจากความต้องการทางเพศเท่านั้น


ลำดับเหตุการณ์

  • 31 สิงหาคม ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก เป็นโสเภณี
  • 8 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง เป็นโสเภณีเช่นกัน
  • 25 กันยายน ค.ศ. 1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊กเดอะริปเปอร์”
  • 30 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สามกับสี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
  • 1 ตุลาคม ค.ศ. 1888 ไปรษณีย์บัตร “แจ็ค เดอะ ริพเปอร์” ถึงสำนักข่าวเดิม
  • 16 ตุลาคม ค.ศ. 1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีกไปให้จอร์ช ประธานคณะกรรมการป้องกันภัยไวต์ชาเปล
  • 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย
  • 31 ธันวาคม ค.ศ. 1888 พบศพมองตาดู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊กเดอะริปเปอร์ จมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
  • ค.ศ. 1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1919
  • ค.ศ. 1892 ปิดคดีแจ็กเดอะริปเปอร์ โดยหาผู้กระทำความผิดไม่เจอ

    ผู้ต้องสงสัย

    มีการตั้งข้อสันนิษฐานมากมายเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยเป็น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เช่น ฆาตกรรายนี้อาจเป็นหมอ คนขายเนื้อ โดยประเมินจากอาวุธและวิธีการก่อเหตุ ซึ่งบ่งชี้ว่าคนร้ายมีความรู้ด้านกายวิภาคของมนุษย์

นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีอื่น ๆ ที่ตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับตัวคนร้าย โดยหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาคือ เจ้าชายอัลเบิร์ต วิคเตอร์ ดยุคแห่งคลาเรนซ์ พระราชนัดดา (หลาน) ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร แต่หลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหานี้ไม่ชัดเจนพอ

    ข้อสันนิษฐานล่าสุด

    ในสารคดีของบีบีซีที่ชื่อ Jack the Ripper - The Case Reopened ที่ออกอากาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาและนิติเวชศาสตร์ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ตัวจริงอาจเป็น นายแอรอน คอสมินสกี เพราะการวิเคราะห์หลักฐานต่าง ๆ พบว่าเขามีพฤติการณ์เข้าข่ายจะเป็นฆาตกรใจโหดรายนี้มากที่สุด เนื่องจากอาศัยอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุในย่านไวท์แชปเปิลตอนนั้น รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี และสามารถแฝงตัวให้กลมกลืนไปกับผู้คนในพื้นที่ได้ดี

    ศาสตราจารย์เดวิด วิลสัน นักอาชญาวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมซิตี ระบุว่า นายคอสมินสกี เป็นชาวโปแลนด์ที่อพยพมาอังกฤษกับครอบครัวเมื่อปี 1881 เขามีประวัติป่วยทางจิตตั้งแต่ปี 1885 โดยมีอาการหวาดระแวง และมีพฤติกรรมรุนแรง

    จากการศึกษาค้นคว้าของ ศ.วิลสัน พบว่า นายคอสมินสกี อ้างว่ามีพฤติกรรมรุนแรงเพราะได้ยินเสียงที่สั่งให้เขาแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นออกมา โดยในปี 1890 ครอบครัวได้ส่งตัวเขาเข้ารับการรักษาทางจิต หลังจากใช้มีดทำร้ายพี่น้องผู้หญิงของตัวเอง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นายคอสมินสกี ก็เข้าออกโรงพยาบาลจิตเวชหลายแห่ง ก่อนที่จะเสียชีวิตจากภาวะเนื้อตายเน่า (gangrene) ในปี 1919


หมู่เกาะฮาวาย ดินแดนสุดแสน amazing!



ข้อมูลทั่วไป

    รัฐฮาวาย เป็นรัฐในสหรัฐอเมริกาตั้งอยู่ในหมู่เกาะฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากชายฝั่งสหรัฐอเมริกาประมาณ 3,700 กม. (2,300 ไมล์) แต่เดิม ฮาวายถูกเรียกว่า "หมู่เกาะแซนด์วิช"(Sandwich Islands) ตั้งโดย เจมส์ คุก เมื่อล่องเรือมาพบเกาะ ในปี พ.ศ. 2321 (ค.ศ. 1778)

    ฮาวาย เป็นเกาะที่เกิดจากลาวาที่ไหลผ่าน แผ่นแปซิฟิก (Pacific Plate) ที่เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยอัตราความเร็วปีละประมาณ 2-3 นิ้ว ดังนั้นหมู่เกาะฮาวายจึงเป็น หมู่เกาะน้องใหม่ที่สุดในโลก โดยมีอายุเพียง 25-40 ล้านปีเท่านั้น

    ฮาวาย มีเกาะอยู่ด้วยกัน 8 เกาะ ได้แก่ โอวาฮู (Oahu) ฮาวาย (Hawaii) หรือบิ๊กไอส์แลนด์ (Big Island) มาวี (Maui) คาโฮโอลาเว (Kahoolawe) ลาไน (Lanai) โมโลไค (Molokai) คาไว (Kauai) นิอิฮาว (Niihau)

รัฐฮาวายแยกพื้นที่ตามเขตปกครองเป็น 4 เขต ดังนี้

1. Honolulu County

    เกาะโอวาฮู (Oahu) ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองหลวงคือ โฮโนลูลู เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 11 ของสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ มีหาดที่สวยงามที่ดำน้ำ และจุดชมวิวมากมาย สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ The Arizona MemorialU.S.S. MissouriPunchbowl National Memorial Cemetery of the PacificPolynesian Cultural CenterBishop Museum และ Hanauma Bay

ในปี 2010 มีจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 4,427,372 คน การเกษตรในเกาะ จะเป็นผักและผลไม้ เช่น สับปะรด และอ้อย

2.Maui County 

ใหญ่เป็นอันดับสองในรัฐฮาวาย ประกอบด้วย 4 เกาะสำคัญได้แก่ Maui, Molokai, Lanai และ Kahoolawe ประชากรส่วนใหญ่ใน Molokai เป็นคนพื้นเมืองฮาวาย ในปี 2010 มีนักท่องเที่ยวในเขตนี้กว่า 2,186,279 คน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ The Historic Whaling Town of Lahaina, The Maui Ocean Center, The slopes and vistas of Haleakala Crater, The winding road to Hana และ หาดตาม Kaanapali coast การเกษตรจะเป็นผักและผลไม้ที่สำคัญคือ สับปะรด อ้อย กาแฟ มีปลูกมากที่เกาะ Maui และ Molokai มีการปลูกไม้ตัดดอก และกล้วยไม้

3.Hawaii County/Big Island

เป็นเกาะที่มีเนื้อที่มากที่สุดคือ 4,000 ตารางไมล์ เป็นเกาะที่อายุน้อยที่สุดมีภูเขาไฟ 5 แห่งซึ่งยังคงระอุอยู่ 2 แห่ง ในปี 2010 มีนักท่องเที่ยวเดินทาง มายังเกาะนี้ประมาณ 1,378,921 คน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญได้แก่ The Hawaii Volcanoes National Park, Akaka Falls, Pu‘uhonua o Honaunau National Historical Park (City of Refuge), Pu‘ukohola Heiau National Historic Siteและ Lapakahi State Historic Park นอกจากนี้ยังมีการประมงน้ำลึก เทศกาลสำคัญบนเกาะ เช่น The Merrie Monarch Hula Festival, The Kona Coffee Festival และ The Ironman Triathlon การเกษตรที่สำคัญจะเป็นการเลี้ยงวัว กาแฟ แมกคาเดเมีย มะละกอ และไม้ดอก เช่น กล้วยไม้ และดอกหน้าวัว นอกจากนี้ยังมีความสำคัญทางดาราศาสตร์ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของหอดูดาวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

4.Kauai County

ประกอบด้วยเกาะ Kauai เกาะ Niihau และเกาะเล็กๆ ในบริเวณดังกล่าว ในปี 2009 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 1,042,633 คน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญได้แก่ Waimea Canyon, Hanalei Valley, Koke‘e State Park, Fern Grotto ชายหาด และจุดชมวิวต่างๆ สินค้าเกษตรที่สำคัญได้แก่ อ้อย ผลไม้ มะละกอ เผือก ผักต่างๆ และเนื้อวัว

ภูมิอากาศ และอุณหภูมิ


เกาะฮาวายมีสภาพอากาศและอุณหภูมิที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาของปี สภาพอากาศแบบเขตร้อนทั่วไป หมายถึง สามารถมาเที่ยวเกาะที่สวยงามแห่งนี้ได้ตลอดเวลา เกาะฮาวายคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน ช่วงไฮซีซั่น ของฮาวายตรงกับช่วงที่ภูมิภาคอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกาต้องประสบกับสภาพอากาศที่เลวร้าย ซึ่งอยู่ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ถึงกลางเดือนเมษายน ส่วนในช่วงปีใหม่ และช่วงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ (ปกติอยู่ในช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน) จะเป็นช่วงที่ค่อนข้างหนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยวที่เกาะฮาวายจะมีปริมาณน้อยลงต้ังแต่กลางเดือนเมษายนไปจนถึงต้นเดือนมิถุนายน และอีกช่วงคือในเดือนกันยายน ถึงเดือนธันวาคม ในช่วงหน้าร้อนต้ังแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม จะพบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันแบบครอบครัวมากกว่าปกติเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียนของเด็กๆ

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ


1.ชายหาดไวกิกิ

หากมาเที่ยวฮาวาย สิ่งแรกที่นึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้นทะเลโดยเฉพาะชายหาดที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างชายหาดไวกิกิ (Waikiki Beach) ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเกาะโออาฮู โดยหาดแห่งนี้ยังถือเป็นพื้นที่เล่นเซิร์ฟที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักโต้คลื่น แถมยังถือเป็นศูนย์รวมของรีสอร์ทห้าดาวพร้อมกับพื้นที่นอนอาบแดดแบบชิลๆ อีกด้วย





2. Pearl Harbor

สำหรับใครที่ได้มาเที่ยวที่ฮาวาย ก็ต้องไม่พลาดที่จะมาเยี่ยมชม เพิร์ล ฮาร์เบอร์ หรือ ท่าเรือเพิร์ล ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากใครได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะทราบกันดีว่า สถานที่แห่งนี้ถือเป็นจุดเตือนใจชาวสหรัฐฯ และชาวโลกถึงเรื่องราวของความโศกเศร้าที่เกิดจากสงคราม โดยปัจจุบันนี้ เพิร์ลฮาร์เบอร์กลายเป็นท่าจอดเรือและที่ตั้งอนุสาวรีย์เรือรบหลวงแอริโซน่า



3. อ่าวฮานาอูมา

อ่าวฮานาอูมา (Hanauma Bay) ถือเป็นอ่าวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก โดยเคยถูกจัดอันดับให้เป็นชายหาดที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอ่าวแห่งนี้ได้ถูกจนทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติทางทะเลและอุทยานใต้น้ำในปี ค.ศ. 1967 และยังมีศูนย์การศึกษาทางทะเลเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมกันอีกด้วย ดังนั้น หากใครได้มีโอกาสมาเยือนเกาะโออาฮูสักครั้ง ก็ต้องไม่พลาดไม่ร่วมกิจกรรมดำน้ำตื้นเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติใต้น้ำที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งของโลก


คราเคน หมึกยักษ์ในตำนาน

     คราเคน (Kraken) เป็นสัตว์ยักษ์ในตำนานที่ชาวทะเลเหนือหวาดกลัว มักเล่าว่าคล้ายหมึกกล้วยขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกะทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว



คราเคนถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ "The Natural History of Norway" ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับคราเคนเอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์

เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเคนก็ค่อย ๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อย ๆ ไม่มหึมาโอฬาร แต่ก็ยังมีขนาดยักษ์

นักชีววิทยาเชื่อว่า ที่แท้เป็นหมึกมหึมาชนิดหนึ่ง อยู่ในทะเลลึก และเมื่อตายจะเป็นซากลอยเกยหาด จนชาวประมงพบเห็นและจินตนาการเพิ่มเติมเกินจริง หมึกมหึมามีขนาดใหญ่จริง แต่ไม่เท่าเรื่องเล่าในตำนาน มีซากตัวอย่างที่ยาวเท่าเรือเร็ว และมีหลักฐานจากซาก วาฬสเปิร์ม ว่าวาฬพยายามกินหมึกชนิดนี้ และต่อสู้กัน

ใน พ.ศ. 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของหมึกดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า หมึกมหึมา โจมตีเพราะเรือมีลักษณะคล้ายปลาวาฬศัตรูของหมึกจนเข้าใจผิด และจากรายงานของผู้ประสบเหตุอ้างว่า หมึกดังกล่าวมีขนาดมหึมา โดยเฉลี่ยประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน ส่วนมากเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น



ความลึกลับและโหดร้ายของหมึกยักษ์ ทำให้มีการจัดตั้งคณะนักวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาเรื่องของมันอย่างจริงจัง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1999 หลังจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ทำการวิจัยหมึกยักษ์เป็นเวลา 30 วัน ก็ได้บทสรุปออกมาว่า พวกมันชอบอยู่ในน้ำลึกบริเวณที่มีอุณภูมิต่ำมากๆ และมันชอบไหลไปตามกระแสน้ำ สาเหตุที่ทำให้มันดุร้ายคือ เมื่อมันเกิดไหลไปเจอกระแสน้ำอุ่น การดำรงชีพของมันจะขัดข้อง และจำเป็นต้องลอยอยู่ที่ผิวน้ำเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเครียด สังเกตได้จากบริเวณที่มีผู้พบเห็นหมึกยักษ์โจมตี มักเป็นบริเวณที่กระแสน้ำเย็นและกระแสน้ำอุ่นมาตัดกัน ซึ่งเป็นบริเวณที่หมึกยักษ์หงุดหงิดเพราะปรับตัวไม่ทันนั่นเอง




สามเหลี่ยมปีศาจ"เบอร์มิวด้า"

 สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle) หรืออาจรู้จักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ (Devil's Triangle) เป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว วัฒนธรรมสมัยนิยมได้ให้เหตุผลของการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือฐานทัพของสิ่งมีชีวิตนอกโลก หลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ได้รับรายงานอย่างไม่ถูกต้องหรือถูกเสริมแต่งโดยนักประพันธ์ในช่วงหลัง และหน่วยงานของรัฐหลายแห่งได้กล่าวว่า จำนวนและธรรมชาติของการหายสาบสูญไปในพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการหายสาบสูญไปในมหาสมุทรส่วนอื่น ๆ ของโลก




สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.14 ล้านตารางกิโลเมตร (4.4 แสนตารางไมล์) อยู่ระหว่างจุด 3 จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร มีพื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหมด แต่แนวคิดที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกว่า (เนื่องจากปรากฏในงานเขียนจำนวนมาก) ระบุว่า จุดปลายสุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้แก่ ชายฝั่งแอตแลนติกของไมแอมีซานฮวน (บนเกาะเปอร์โตริโก) และเกาะเบอร์มิวดา ด้วยเหตุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งด้านใต้โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา

พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน เรือสำราญที่ผ่านพื้นที่นี้ก็มีมากเช่นกัน เรือเที่ยวเองก็มักจะมุ่งหน้าไปและกลับระหว่างฟลอริดากับแคริบเบียนอยู่เป็นปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่น ทั้งอากาศยานพาณิชย์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้

การกล่าวอ้างถึงการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาปรากฏในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1950 ในบทความของแอสโซซิเอด เพลส โดยเอ็ดเวิร์ด ฟาน วินเคิล โจนส์ อีกสองปีต่อมา นิตยสารเฟท ได้ตีพิมพ์ "ความลึกลับที่ประตูหลังของเรา" บทความสั้นโดย จอร์จ แอกซ์. แซนด์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินและเรือจำนวนมากที่หายสาบสูญไป รวมไปถึงการหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน บทความของแซนด์ได้เป็นงานเขียนแรก ๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันดีของพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อันเป็นสถานที่ที่เกิดการหายสาบสูญอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ได้ปรากฏในนิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962 โดยกล่าวอ้างว่าผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว" นอกจากนี้ ยังได้มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนของกองทัพเรือยังได้ระบุว่าเครื่องบินทั้งหมดได้ "บินสู่ดาวอังคาร" บทความของแซนด์เป็นงานเขียนชิ้นแรกซึ่งเสนอว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติที่มีผลต่อเหตุการณ์หายสาบสูญของฝูงบิน 19 ในนิตยสารอาร์กอสซี ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 บทความของวินเซนต์ เอช. แกดดิส "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร้ายกาจ" ซึ่งโต้แย้งว่าฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญไปอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ในปีต่อมา แกดดิสได้ขยายบทความของเขาไปเป็นหนังสือ ชื่อว่า อินวิสซิเบิลฮอไรซอนส์ (Invisible Horizons) 

ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า ลิมโบออฟเดอะลอสต์ (Limbo of the Lost) ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า เดอะเดวิลส์ไทรแองเกิล (The Devil's Triangle) ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอันมาก หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้เกิดจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่น มนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกัน และบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมาก ตั้งแต่ ฟลอริด้า-เปอร์โตริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ 4.4 แสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการค้นหาเพื่อพิสูจน์ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐและเอกชนต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้

เมกาโลดอน จ้าวทะเลดึกดำบรรพ์

 ทำความรู้จักเมกาโลดอน


ชื่อ Megalodon มาจากไหน

    ชื่อ Megalodon มาจากภาษากรีกโบราณ จากคำว่า Mega ที่แปลว่า ใหญ่ ทรงพลัง กับคำว่า Odous ที่แปลว่า ฟัน 

การจำแนกชั้นทางชีววิทยา

        เมกาโลดอนเป็นหนึ่งในสมาชิกฉลามตระกูล  Lamniformes ซึ่งมีมากถึง 373 สายพันธุ์ในอดีต แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 12 สายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงฉลามขาวด้วย แต่เมกาโลดอนนั้นมีเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างจากฉลามขาว

        เมกาโลดอน (Megalodon) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Otodus megalodon จัดอยู่ใน Kingdom : Animalia Phylum : Chordata ชั้น : Chondrichthyes ชั้นย่อย : Elasmobranchii ลำดับ : Lamniformes วงศ์ : Otodontidae สกุล : Otodus สปีชีส์ : O.megalodon

ช่วงชีวิตของเมกาโลดอน

        เมกาโลดอน คือฉลามที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยพบมา พวกมันมีชีวิตอยู่ราว 23-2.6 ล้านปีก่อน คือช่วงไมโอซีนตอนต้นถึงไพลโอซีน 

ลักษณะโดยทั่วไป

    การที่โครงกระดูกของฉลามส่วนใหญ่เป็นกระดูกอ่อน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่ง มีความยืดหยุ่น เมื่อผ่านไปหลายล้านปีทำให้แทบไม่หลงเหลืออวัยวะที่แข็งพอจนสามารถกลายเป็นฟอสซิลให้เราศึกษาได้ ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้มีการถกเถียงเกี่ยวกับขนาดลำตัวที่แท้จริงของมันมาโดยตลอด แต่มีการคาดคะเนขนาดและรูปร่างของมันจากฟอสซิลฟันขนาดใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ ซึ่งมีความยาว 16.8 เซนติเมตร

    เมกาโลดอนมีขากรรไกรกว้าง 3.4 เมตร อ้าปากกว้าง ฟันของเมกาโลดอนนั้นมีขนาดที่แข็งแรงมาก อีกทั้งยังมีลักษณะพิเศษคือ เมื่อฟันหลุดออกมาก็สามารถงอกใหม่ได้บ่อยๆ โดยมันสามารถเปลี่ยนฟันทั้งชุดได้ในทุกๆ 2 สัปดาห์ และตลอดทั้งชีวิตของมันสร้างฟันได้ 40,000 ซี่


    ในปีค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา ได้มีผลงานวิจัยออกมาว่าเมกาโลดอนน่าจะมีความยาว 16-18 เมตร เมื่อโตเต็มวัยเพศเมียมีน้ำหนัก 28-65 ตัน ในขณะที่เพศผู้ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าจะมีน้ำหนัก 13-34 ตัน พวกมันสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 18 กิโลเมตร/ชั่วโมง


    ด้วยความยาวดังที่กล่าวมา ทำให้คาดคะเนว่า ส่วนหัวมีขนาด 3-4 เมตร ความยาวจากท้องถึงครีบอาจมากถึง 4.5 เมตร รวมถึงครีบที่ยาวได้ถึง 4 เมตร ลำตัวที่มีขนาด 15 เมตร ทำให้มันเป็นนักล่าขนาดยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวในทะเลช่วงเวลานั้นมาก

ถิ่นที่อยู่อาศัยของเมกาโลดอน



    เมกาโลดอนอาศัยอยู่ในมหาสมุทรแถบอเมริกาใต้ มีหลักฐานที่ชี้ว่าเมกาโลดอนน่าจะอาศัยและหากินในน้ำตื้นใกล้ชายฝั่ง โดยเฉพาะส่วนที่ลึกไม่เกิน 200 เมตร พวกมันใช้บริเวณน้ำตื้นอย่างเช่นอ่าวปานามาเป็นแหล่งอนุบาลลูกที่ยังเล็กอยู่ด้วย โดยมีการพบฟอสซิลฟันของเม็กกาโลดอนที่ยังไม่โตเต็มวัยจำนวนมากในน้ำตื้น


อาหารของเมกาโลดอน



    เนื่องจากเมกาโลดอนมีขนาดลำตัวที่ใหญ่ มันจึงกินอาหาร 1134 กิโลกรัมต่อวัน เพื่อให้ได้รับพลังงานที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต  นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เม็กกาโลดอนกินอาหารโดยไม่เลือก โดยอาหารหลักของมันนั้นคือ สัตว์น้ำขนาดใหญ่ และอาจจะกินวาฬได้ด้วย เนื่องจากมีการขุดค้นพบกระดูกวาฬที่มีรอยฟันคล้ายรอยฟันของปลาฉลามกัด เชื่อว่าเป็นรอยฟันของเม็กกาโลดอน โดยเหยื่อของเม็กกาโลดอนชนิดหนึ่ง คือ ออโดเบ็นโอเซ็ทออป ซึ่งเป็นวาฬในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะคล้ายนาร์วาฬในยุคปัจจุบัน


การสืบพันธุ์


    การสืบพันธ์ุของเมกาโลดอนนั้นเป็นคำตอบว่าทำไมมันถึงตัวโตกว่าสัตว์อื่นๆในยุคเดียวกัน เมกาโลดอนมีระบบสืบพันธุ์แบบ Ovoviviparity ซึ่งตัวอ่อนจะพัฒนาตัวเองอยู่ในไข่ และไข่นั้นจะอยู่ในท้องแม่อีกที จากนั้นเมื่อฟักออกมาจากไข่ ก็จะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นไข่ที่เหลือ และตัวอ่อนด้วยกันเอง พฤติกรรมหิวโหยเช่นนี้ ทำให้มันเป็นตัวอ่อนที่โตขึ้นแล้ว เมื่อพวกมันคลอดออกมาสู่ท้องทะเล พวกมันจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าสัตว์น้ำแรกเกิดชนิดอื่น โดยเมื่อคลอดอกมาพวกมันจะมีขนาดลำตัวยาว 2 เมตร ด้วยเหตุผลนี้จะสอดคล้องกับการค้นพบสถานที่เพาะเลี้ยงตัวอ่อนของเมกาโลดอนที่ปานามาและสเปน ซึ่งนักวิจัยได้ตรวจสอบโดยการทำ CT สแกนกระดูกสันหลังเมกาโลดอนที่ถูกพบ นอกจากนี้หากแม่เมกาโลดอนอาศัยอยู่ในที่ที่สมบูรณ์เท่าไหร่ การเจริญเติบโตก็จะมากขึ้นเท่านั้น


การสูญพันธ์ุ



มีหลักฐานยืนยันว่าเม็กกาโลดอนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นไดโนเสาร์แห่งเผ่าพันธุ์ฉลาม ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อราว 2.6 ล้านปีก่อน 

หลายคนอาจคิดว่าขนาดตัวที่ใหญ่เกินไปทำให้เม็กกาโลดอนหมดไปจากโลก แต่ที่จริงแล้วนักบรรพชีวินวิทยาพบว่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ระดับน้ำทะเลเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเมื่อหลายล้านปีก่อนมากกว่า

การที่ระดับน้ำทะเลลดลงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศชายฝั่งที่เม็กกาโลดอนอาศัยอยู่ ทำให้พื้นที่ในการหาอาหารมีไม่เพียงพอ จนสัตว์ทะเลยุคโบราณ 36% ซึ่งรวมถึงฉลาม เต่า วาฬและโลมาหลายชนิดพันธุ์ต้องตายลง หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่ล้านปี เปิดทางให้ฉลามขาวมีวิวัฒนาการขึ้นมาแทนจนเป็นยอดนักล่าแห่งท้องทะเลในปัจจุบัน



ฆาตกรต่อเนื่อง Jack the ripper

                 แจ็กเดอะริปเปอร์   ( Jack the Ripper ) เป็นสมญาของ ฆาตกรต่อเนื่อง ที่ฆ่าคนในย่าน "ไวต์ชาเปล" ถิ่นยากจนในย่าน อีสต...