สำหรับสถานที่สำคัญที่ดิฉันจะนำเสนอเป็นสถานที่สำคัญในประเทศอังกฤษ ได้แก่...
1. Tower of London
หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) แต่เดิมถูกใช้เป็นปราสาทพระราชวังแห่งราชวงศ์อังกฤษในยุคกลาง ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองลอนดอนริมแม่น้ำเทมส์จนเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญที่หลายๆคนอยากจะมาเยือน
ประวัติความเป็นมา ของ Tower of London
หอคอยแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้น ภายหลังที่วิลเลียม ดยุคแห่งนอร์มังดี หรือที่รู้จักกันในนาม วิลเลียมผู้พิชิต ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ เมื่อปี 1066 โดยกษัตริย์วิลเลี่ยมได้เริ่มสร้างหอคอยแห่งนี้ขึ้น ด้วยการดัดแปลงจากป้อมปราการให้กลายเป็นปราสาทขนาดใหญ่ด้วยหินทั้งอาคาร โดยเลือกสถานที่ก่อตั้งให้อยู่ใกล้แม่น้ำเทมส์ เพื่อความสะดวกในการสังเกตการณ์ศัตรูที่อาจบุกเข้ามา และได้ขุดคลองรอบ ๆ ปราสาท เพื่อใช้เป็นอุปสรรคทางธรรมชาติ หลังจากนั้นก็มีการเพิ่มเติมสิ่งก่อสร้างมากมาย โดยเฉพาะ White Tower หรือหอคอยสีขาว ที่กลายเป็นสถานที่เกิดเหตุสำคัญมากมายทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของหอคอยลอนดอน
ด้วยความที่มีความปลอดภัยสูง และด้วยปัญหาของราชวงศ์ที่มีต่อประชาชน จึงทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นคุกที่ใช้ขังนักโทษทางการเมือง นักโทษที่เป็นชนชั้นสูงเพื่อรอเวลาประหาร เช่น Anne Boleyn พระมเหสีของพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 8, พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 5 ของอังกฤษ และเจ้าชายริชาร์ด ดยุกออฟยอร์ก ที่เป็นน้องชาย, นักบวชคณะเยซูอิต เป็นต้น
2. University of Oxford
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (University of Oxford หรือ Oxford University) หรือชื่อเรียกอย่างง่ายว่า ออกซฟอร์ด เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานประวัติการก่อตั้งที่แน่นอน แต่มีบันทึกเป็นหลักฐานว่าได้เริ่มสอนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1096 ทำให้ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และเก่าแก่เป็นอันดับสองในบรรดามหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของโลกที่ยังเปิดสอน ออกซฟอร์ดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ. 1167 เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 2 ทรงห้ามมิให้นักศึกษาชาวอังกฤษไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยปารีส ภายหลังจากการพิพาทระหว่างนักศึกษาและชาวเมืองออกซฟอร์ดในปี ค.ศ. 1206 นักวิชาการบางส่วนได้หนีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่เมืองเคมบริดจ์ ซึ่งพวกเขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ขึ้น ทั้งสอง "มหาวิทยาลัยโบราณ" มักจะถูกเรียกว่า "ออกซบริดจ์"
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเติบโตขึ้นจากความหลากหลายของสถาบันการศึกษาต่าง
ๆ รวมถึงวิทยาลัยร่วมทั้ง 38 แห่ง และหน่วยงานทางวิชาการซึ่งแบ่งออกเป็นสี่แผนก แต่ละวิทยาลัยมีระบบการจัดการอย่างอิสระในการควบคุมสมาชิกรวมทั้งมีระบบโครงสร้างภายในและกิจกรรมเป็นของตนเอง มีลักษณะเป็นเมืองมหาวิทยาลัยซึ่งมีอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกกระจายอยู่ทั่วใจกลางเมือง การศึกษาระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ที่ออกซฟอร์ดเป็นการจัดการด้วยวิธีติวเตอร์ตลอดรายสัปดาห์ไปในแต่ละวิทยาลัยและฮอลล์ต่าง ๆ โดยได้รับการสนับสนุนจากชั้นเรียน
การบรรยาย และการปฏิบัติการซึ่งจัดขึ้นโดยคณะและภาควิชาต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดยังดำเนินงานพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก รวมถึงสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีระบบห้องสมุดทางวิชาการที่ใหญ่ที่สุดในบริเตน ออกซฟอร์ดมีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก รวมถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบล 28 คน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร 27 คน ประมุขแห่งรัฐและผู้นำรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ออกซฟอร์ดเป็นแหล่งที่ตั้งของทุนการศึกษาโรดส์ซึ่งเป็นหนึ่งในทุนการศึกษานานาชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและมีชื่อเสียงมากที่สุด ซึ่งได้นำนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมานานกว่าศตวรรษ
อาสนวิหารแคนเทอร์เบอรี (Canterbury Cathedral) เป็นอาสนวิหารแองกลิคันตั้งอยู่ที่เมืองแคนเทอร์เบอรี
ในสหราชอาณาจักร เป็นโบสถ์ประจำตำแหน่งอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรแห่งอังกฤษและผู้นำเชิงสัญลักษณ์ของแองกลิคันคอมมิวเนียน และเป็นที่ตั้งอาสนะของนักบุญออกัสติน (Chair of St. Augustine) ชื่อที่เรียกกันเป็นทางการของอาสนวิหารแคนเทอร์เบอรีคือ “อาสนวิหารและคริสตจักรมหานครของพระคริสต์
เมืองแคนเทอร์เบอร์รี” (Cathedral and Metropolitical Church of Christ at
Canterbury)
บิชอปองค์แรกของอาสนวิหารแคนเทอร์เบอรีคือนักบุญออกัสตินแห่งแคนเทอร์เบอรีที่เคยเป็นอธิการอารามนักบุญอันดรูว์ของคณะออกัสติเนียนที่กรุงโรม สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่
1 ทรงส่งนักบุญออกัสตินไปทำการประกาศข่าวดีที่อังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 597
นักบุญบีด (Bede the
Venerable) กล่าวไว้ในจดหมายเหตุ “ประวัติศาสตร์คริสตจักรของชาวอังกฤษ”
(The Ecclesiastical History of the English People) ว่านักบุญออกัสตินเป็นผู้ก่อตั้งอาสนวิหารแคนเทอร์เบอรี
และท่านเป็นบิชอปองค์แรกของอาสนวิหารนั้น การสำรวจทางโบราณคดีเมื่อปีค.ศ. 1993
พบร่องรอยของโบสถ์แบบแซกซันใต้ฐานโบสถ์
ซึ่งสร้างทับสิ่งก่อสร้างแบบโรมัน โบสถ์แรกอุทิศให้กับนักบุญเซเวียร์
(St. Saviour)
นอกจากนั้นนักบุญออกัสตินยังควบคุมการก่อสร้างอารามนักบุญเปโตรและเปาโล
(Abbey of St. Peter and Paul) นอกกำแพงเมืองแคนเทอร์เบอรีด้วย
ต่อมาอารามนี้เปลี่ยนมาอุทิศให้กับตัวนักบุญออกัสตินเอง และใช้เป็นสถานที่ฝังบิชอปมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
เพราะความสำคัญของอาสนวิหารแคนเทอร์เบอรี ทำให้อาสนวิหารนี้ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
4. Churchill War Rooms
พิพิธภัณฑ์ Churchill War Rooms ในกรุงลอนดอน เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสงครามโลกแห่งหนึ่งที่คนชอบประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดเข้าไปชมเด็ดขาด เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่บัญชาการรบของประเทศอังกฤษจริง ๆ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของท่านนายกรัฐมลตรีคนดัง Sir Winston Churchill จึงทำให้มีสิ่งของต่างๆ ที่เคยใช้งานจริงจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์นี้มากมาย และด้วยการเชื่อมต่อในแต่ละห้องที่มีขนาดพอดีคนเดินเท่านั้น จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้าชมรู้สึกเหมือนอยู่ในกองบัญชาการในขณะที่เกิดสงครามจริง ๆ
ความเป็นมาของ Churchill War Rooms
พิพิธภัณฑ์ Churchill War Rooms เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1936 โดยกระทรวงอากาศยาน (ชื่อในขณะนั้น) แห่งประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นกองบัญชาการของกองทัพอากาศ ในขณะที่ลอนดอนถูกทิ้งระเบิดจากศัตรูอย่างหนัก เมื่อเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 1938 ก็ได้มีการสร้างห้องวิทยุสื่อสารที่มีอุปกรณ์มากมายหลายชนิด และได้มีการเพิ่มเติมห้องต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเมื่อวินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้นได้มาเห็นตึกแห่งนี้ ก็ประกาศว่าจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นกองบัญชาการในการรบทันที จนกระทั่งมีชัยชนะเหนือเยอรมนีในที่สุด
แม้ว่าภายแรก สถานที่แห่งนี้จะไม่ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชม แต่ด้วยเสียงเรียกร้องของประชาชนชาวอังกฤษที่อยากจะเห็นห้องแห่งชัยชนะนับแสนคน รัฐบาลจึงตัดสินใจซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย และปรับปรุงให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างเช่นทุกวันนี้
5. Windsor Castle
ปราสาทวินเซอร์(Windsor Castle) เป็นพระราชวังที่โด่งดังของอังกฤษ เป็นที่พำนักของกษัตริย์ พระราชวัง Windsor ในเขต Berkshire เป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ของกษัตริย์แต่ละสมัย
ปราสาทเดิมถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 หลังจากนอร์แมนบุกอังกฤษโดย William the Conqueror ตั้งแต่สมัยของเฮนรี โดยพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์และเป็นพระราชวังที่ยาวที่สุดในยุโรป ปราสาทแห่งนี้ถูกออกแบบโดยนักประวัติศาสตร์ศิลป์ฮิวจ์โรเบิร์ตส์ ในยุคจอร์เจียน
ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการบุกรุกของนอร์แมนรอบนอกกรุงลอนดอนและดูแลส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของแม่น้ำเทมส์พระราชวังวินด์เซอร์ล้อมรอบด้วยเนินเขากลาง 3 แห่ง ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยป้อมปราการที่ทำด้วยหินปราสาทแห่งนี้
ในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่ 13 สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่สามสร้างพระราชวังหรูหราภายในปราสาทในช่วงกลางศตวรรษ ต่อมาเอ็ดเวิร์ดที่สามไปอีกสร้างพระราชวังเพื่อสร้างอาคารที่ยิ่งใหญ่กว่า จนกลายเป็น “โครงการก่อสร้างที่มีราคาแพงที่สุดของอังกฤษในยุคกลาง” ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสถานที่จัดงานการเยี่ยมเยือนของรัฐและบ้านพักสุดสัปดาห์ของ Elizabeth II.
พระราชวังวินด์เซอร์ครอบคลุมพื้นที่ 32 ไร่ และรวมป้อมปราการพระราชวังกับเมืองเล็กๆด้วย เป็นการออกแบบสไตล์จอร์เจียและวิคตอเรีย โดยยึดตามโครงสร้างยุคกลางที่มีลักษณะแบบโกธิกที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 สถาปัตยกรรมและความพยายามที่เลียนแบบรูปแบบเก่าๆ สถาปนิกเซอร์วิลเลียมวิธฟิลด์ แสดงให้เห็นสถาปัตยกรรมของพระราชวัง เพื่อสื่อถึงความเป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพระราชวังของยุโรป
6. Stonehenge
สโตนเฮนจ์(Stonehenge) มีลักษณะเป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่ยักษ์ลึกลับอันน่าประหลาดใจ หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง และมรดกโลก(UNESCO)ที่ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถไขคำตอบเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการสร้าง วิธีการการสร้างหรือแม้แต่อายุและความเก่าแก่ของสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน บ้างก็ว่า 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช บ้างก็ว่าเก่าแก่ถึง 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
Stonehenge เป็นอนุสรณ์สถานที่เกิดขึ้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษตรงกลางทุ่งของที่ราบอันกว้างใหญ่ Salisbury Plain ในเขตเมือง Amesbury เป็นอนุสรณ์สถานยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ถูกสร้างขึ้นในหลายขั้นตอน อนุสาวรีย์แรกในอนุสรณ์สถานคือ henge ที่เริ่มต้นสร้างเมื่อประมาณ 5,000 ปีที่ผ่านมาและวงกลมหินที่ไม่ซ้ำกันที่เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงยุค Neilithic ประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงแห่งยุคสำริดหลายแห่งถูกฝังอยู่ใกล้ๆ ด้วยความน่าประหลาดใจในหลายๆ เรื่องนี้เองที่เป็นหัวใจสำคัญทำให้ Stonehenge และพื้นที่โดยรอบได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางในปี ค.ศ. 1986
อนุสรณ์สถานนั้นประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์มากมายถึง 112 ก้อนที่ตั้งเรียงรายกันอยู่มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมซ้อนกันสามวง แท่งหินบางอันวางนอนในระนาบเดียวกับพื้น แท่งหินบางอันก็ตั้งขึ้น แถมบางอันก็ยังถูกวางซ้อนอยู่ตำแหน่งด้านบนอีกด้วย มีโครงสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักกันในบริเวณใกล้ๆ คือสี่หรือห้าหลุมทั้งสามแห่งที่ดูเหมือนจะมีไม้สนขนาดใหญ่ของแท่งเทียมที่คาดการว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคหินระหว่าง 8,500 และ 7,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเสาเหล่านี้นั้นเกี่ยวข้องกับอนุสรณ์สถาน Stonehenge ที่ถูกสร้างขึ้นในภายหลังหรือไม่ จะสังเกตได้ว่าบริเวณโดยรอบของภูมิทัศน์ของอนุสรณ์สถานแห่งนี้นั้นส่วนที่เหลือนอกจากพื้นที่ของ Stonehenge ส่วนที่เหลือของภาคใต้ของเกาะอังกฤษนั้นล้วนถูกปกคลุมด้วยป่าไม้ชอล์ก จึงเป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงกลายเป็นอนุสรณ์สถานยุคหินยุคแรกๆ เช่นเดียวกับสิ่งก่อสร้างที่ซับซ้อนที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ Robin Hood’s Ball อนุสรณ์สถานสองแห่งของเมืองซัสทัสหรือกำแพงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและอีกหลายแห่งที่มีอายุยาวนานมากกว่า 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราชที่การปรากฏตัวของอนุสรณ์สถานเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อตำแหน่งที่ตั้งของ Stonehenge
จากการศึกษาค้นคว้าของเหล่านักโบราณคดีโดยการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันรังสีเพื่อคำนวณหาอายุของหินทำให้พวกเค้าเชื่อกันว่ากลุ่มกองหินเหล่านี้ถูกสร้างจากที่ไหนซักแห่งเมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยพบว่าหินก้อนแรกนั้นถูกวางตั้งแต่เมื่อประมาณ 2,200-2,400 ปีก่อนคริสต์ศักราช และยังมีทฤษฎีอื่นๆ ที่ระบุว่ากลุ่มหินเหล่านี้อาจถูกวางตั้งแต่ก่อนหน้านั้นมาจนถึง 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช นอกจากเรื่องเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการสร้างที่ชวนให้สงสัยแล้ว อีกหนึ่งข้อสงสัยที่ยังคงสร้างความงุนงงให้กับนักวิทยาศาสตร์และเหล่านักโบราณคดีคือคนในสมัยก่อนนั้นสามารถนำแท่งหินขนาดใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักหลายสิบตันนั้นขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร เพราะค่อนข้างจะมั่นใจได้ว่าในสมัยก่อนนั้นไม่มีเครื่องทุ่นแรงให้เช่นอย่างในปัจจุบันอย่างแน่นอน รวมไปถึงบริเวณที่ราบดังกล่าวก็ไม่มีก้อนหินขนาดใหญ่ขาดนี้ด้วย จึงสันนิษฐานได้ว่าต้องลากหินจากที่อื่นซึ่งอยู่ห่างไปหลายสิบกิโลเมตรอีกด้วย
7. The Roman Baths
โรงอาบน้ำโบราณ หรือ Roman Bath เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่ง ในเมืองบาธ(Bath) ประเทศอังกฤษ ถือเป็นโรงอาบน้ำโรมันขนาดใหญ่ในสมัยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์และดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งโรงอาบน้ำของที่นี่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นถนนในปัจจุบัน ภายในแบ่งออกเป็นโซนหลักๆ 4 โซนด้วยกัน ตั้งแต่โซน Sacred Spring, Roman Temple, Roman Bath House และพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแหล่งน้ำแร่แห่งนี้ถูกค้นพบตั้งแต่สมัยชาวโรมันบุกเข้ามายึดเกาะอังกฤษ ในปัจจุบันโรงอาบน้ำของที่นี่ถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเลย โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่า 1,000,000 คน ต่อปี รวมทั้งยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของทางตะวันตกอีกด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมโรงอาบน้ำได้ตามอัธยาศัย แต่ห้ามลงไปในโรงอาบน้ำเด็ดขาด
หากเดินเข้าไปสิ่งแรกที่จะเห็นก็คือ แท่นบูชาที่ตั้งอยู่บริเวณน้ำพุร้อน สร้างโดย Celts เพื่อ อุทิศตัวและเป็นที่สักการะบูชาเทพเจ้า Sulis Minerva ของชาวโรมัน ต่อมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในจะมีรูปปั้น โบราณวัตถุ ภาพแกะสลัก เหรียญและเงินตรา รูปปั้นศีรษะทองสัมฤทธิ์ของเทพเจ้า Sulis Minerva ซึ่งค้นพบในปี ค.ศ. 1727 รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ประเภทต่างๆ ในสมัยโรมัน มุมที่น่าสนใจถัดมา ก็คือ ห้องสปา ซึ่งมีอายุมากกว่า 1,000 ปีมาแล้ว ภายในน้ำประกอบด้วยแร่ธาตุ 43 ชนิด เหมาะสำหรับบำบัด รักษาโรค ห้องถัดไป คือ Heated Rooms and Plunge Pools เป็นบ่อน้ำเย็นทรงกลม ลึกประมาณ 1.6 เมตร มีการฉายภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ และห้องซาวน่าที่มีมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว ถัดมาจะเป็น Sacred Spring เป็นบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุเก่าแก่กว่าพันปี ตั้งอยู่ใจกลาง The Roman Bath โดยเป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติ มีอุณหภูมิประมาณ 46 องศาเซลเซียล และมีน้ำกว่า 1,170,000 ลิตรต่อวัน มาถึงจุดสุดท้าย ไฮไลท์ของที่นี่ Great Bath เป็นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อน มีความยาวประมาณ 40 เมตร ลึก 1.6 เมตร ใช้สำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนและจุดนัดรวมตัวกัน ซึ่งที่นี่ถือเป็นโรงอาบน้ำที่งดงามตามแบบของโรมันอย่างแท้จริง
เมื่อออกมาด้านนอก เดินไปรอบๆ บริเวณระเบียงกลางแจ้ง มองลงมาจากระเบียงจะเห็น Great Bath โรงอาบน้ำที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่และอนุสรณ์ของชาวโรมัน สมัยวิคตอเรียน ซึ่งรูปปั้นเหล่านี้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1894 โดยได้มีการแกะสลักไว้ล่วงหน้าก่อนจะเปิดโรงอาบน้ำในปี ค.ศ. 1897
8. Trafalgar Square
จัตุรัสทราฟัลการ์ (Trafalgar Square) เป็นจัตุรัสสาธารณะในซิทีออฟเวสท์มินส์เตอร์, ลอนดอนกลาง ตั้งขึ้นในสตวรรษที่ 19 ในพื้นที่ที่ในอดีตรู้จักในชื่อแชร์ริงครอสส์ ชื่อของจัตุรัสนั้นตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงยุทธนาวีที่ตราฟัลการ์ ที่ซึ่งเป็นชัยชนะของกองทัพเรือหลวงของอังกฤษในสงครามนโปเลียนิก เหนือฝรั่งเศส และ สเปน เมื่อปี 1805 ที่หาดของแหลมตราฟัลการ์
บริเวณรอบ ๆ
จัตุรัสนี้เป็นสถานที่สำคัญมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1200 ระยะทางที่วัดจากแชร์ริงครอสส์ถูกใช้เป็นหมุดสถานที่เป็นเวลาหลายศตวรรษ ใจกลางของจัตุรัสคือเนลซันส์คอลัมน์ซึ่งสูง 52 เมตร ล้อมรอบด้วยรูปปั้นสิงโตสี่ตัว อาคารหลัก ๆ
ที่หันหน้าเข้าสู่จัตุรัสนี้ได้แก่ หอศิลป์แห่งชาติ, เซนท์มาร์ตินอินเดอะฟีลดส์, แคนาดาเฮาส์ และ เซาธ์แอฟริกาเฮาส์
9. St.Paul's Cathedral
อาสนวิหารนักบุญเปาโล หรือ อาสนวิหารเซนต์พอล (St Paul's Cathedral) เป็นอาสนวิหารแองกลิคันในลอนดอน สหราชอาณาจักร อาสนวิหารของบิชอปแห่งลอนดอน, เป็นวิหารแม่ของมุขมณฑลลอนดอน อาสนวิหารเซนต์พอลตั้งอยู่บนเขาลัจเจท จุดสูงสุดของนครลอนดอน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารอนุรักษ์เกรด
I อาสนวิหารนี้สร้างขึ้นอุทิศแด่เปาโลอัครทูต อันสืบทอดมาจากโบสถ์หลังเดิมที่จุดเดียวกันนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 604 อาสนวิหารหลังปัจจุบันสร้างขึ้นในศตวรรษที่
17 สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมบาโรกแบบอังกฤษ ผลงานออกแบบของคริสโตเฟอร์ เรน เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเมืองขึ้นใหม่ภายหลังมหาอัคคีภัยแห่งลอนดอน ที่ซึ่งอาสนวิหารหลังก่อนหน้าซึ่งสร้างด้วยสถาปัตยกรรมกอธิก
(อาสนสิหารนักบญเดิม)
ก็ถูกทำลายอย่างหนักในเหตุเพลิงไหม้ใหญ่
อาสนวิหารเซนต์พอลเป็นศูนย์กลาวของลอนดอนตั้งแต่ยุคกลางและยุคใหม่ตอนต้น ทั้งพอลส์วอล์ค แลด สวนโบสถ์เซนต์พอลอันเป็นที่ตั้งของเซนต์พอลส์ครอส
ความสูงจากพื้นถึงโดมของอาสนวิหารมีความสูง 365 ฟุต (111 เมตร) ทำให้อาสนวิหารเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในลอนดอนตั้งแต่ปี 1710 ถึง 1963 และในปัจจุบันเป็นโบสถ์ที่ทีพื้นที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของสหราชอาณาจักร เป็นรองจากอาสนวิหารลิเวอร์พูล
10. West End Theatre District
ย่านโรงละคร West End Theatre District เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการดูมหรสพต่างๆ โดยเฉพาะละครเพลงเป็นพิเศษ เพราะจะมีโรงละครและโชว์เรื่องต่างๆให้เลือกกันมากมาย แต่ก็ใช่ว่ามาแล้วจะต้องชมการแสดงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะที่นี่ก็ยังมีร้านค้าอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งสถานที่ทำการของรัฐบาลบางที่ก็อยู่ในบริเวณนี้ด้วย ถ้าหากจะมีการเปรียบเทียบว่า ย่านโรงละคร West End Theatre District เหมือนกับอะไร ก็คงจะต้องตอบว่าเหมือน Broadway ของสหรัฐอเมริกานั่นเอง
ที่มาที่ไปของ West End Theatre District
สถานที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเองมาตั้งแต่ยุคโรมัน และยุคกลาง (ยุคอัศวินแห่งกรุงลอนดอน) เป็นพื้นที่ของชนชั้นสูงที่มีฐานะ นิยมมาปลูกสร้างที่พักไว้ในบริเวณนี้ เนื่องจากอยู่ใกล้กับพระราชวัง Westminster และได้รับการพัฒนาครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่องในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 19 เพื่อให้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นล่างลงมา หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่งภายหลังการก่อตั้งโรงละคร West End Theatre จนกลายมาเป็นย่านโรงละคร West End Theatre District จนถึงทุกวันนี้